วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ตำนานมังยิดกรือเซ๊ะ (แก้ครั้งที่สอง) ฟาฎิล แซ่หลี


เรียงความ เรื่อง มัสยิดกรือเซ๊ะ
สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประกอบด้วยจังหวัด ยะลา ปัตตานี และนราธิวาสมีเรื่องเล่าเรื่องตำนานที่ เล่าขานกันมาถึงปัจจุบันมากมาย ที่บรรพบุรุษในสมัยก่อนได้เก็บหลักฐานนไว้เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักถึงความเป็นมาของแต่ละสถานทีในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ จากที่กระผมได้ไปศึกษาค้นคว้ามาจากอินเตอร์เน็ต ซึ่งปรากฏว่า ผมได้เจอตำนานเรื่องหนึ่งชื่อว่า ตำนานมัสยิดกรือเซ๊ะ ในสมัยก่อนเป็นที่เลื่องลือในสมัยยุครัฐปัตตานี



รูปมัสยิดกรือเซ๊ะ

ตำนานมัสยิดกรือเซ๊ะ
          เป็นเรื่องราวที่ได้สร้างความอัปยศให้กับสังคมมุสลิมนับตั้งแต่ได้มีประวัติศาสตร์อิสลามเกิดขึ้นมาในปัตตานี เริ่มจากรัชสมัยของพระยาอินทิรา แห่งราชวงศ์ RAJA WANGSA ซึ่งพระองค์เข้ายอมรับอิสลาม และมีพระนามว่า สุลต่าน อิสมาแอล ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้วมัสยิดกรือเซ๊ะ ไม่ได้ถูกสร้างโดยลิ้มโต๊ะเคียมเหมือนกับตำนานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่ได้รับบอกเล่าต่อๆ กันมา หรือตามตำนานที่ได้ถูกบันทึกในวารสาร อสท.ของททท.
และมัสยิดกรือเซ๊ะไม่ได้ถูกฟ้าผ่า เนื่องจากคำสาปแช่งของ นางสาวลิ้มกอเหนี่ยวหรือหลิมกอเนี่ยว ที่ผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ริมชายหาดตันหยงลูโล๊ะ ดี่งที่ตำนานได้กล่าวไว้ ที่วา เมื่อนางไม่สามารถชวน ลิ้มโต๊ะเคี่ยมหรือหลิมเต้าเคียน ผู้เป็นพี่ชายกลับเมืองจีนเพื่อไปดูแลแม่ที่ชราได้ นางจึงเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ได้ตัดสินใจผูกคอตายกับต้นมะม่วงหิมพานต์ พร้อมทั้งได้อาฆาตพยาบาทต่อมัสยิดกรือเซ๊ะที่เป็นต้นเหตุให้พี่ชายไม่สามารถกลับเมืองจีนพร้อมกับนางได้ นางจึงได้ตั้งจิตอธิฐานว่า ขอให้มัสยิดนี้มีอันเป็นไปในทุกๆครั้งที่มีการก่อสร้างหรือสร้างเสร็จ จากนั้นก็ได้มีฟ้าคะนองพร้อมกับได้มีอสนีบาตฟาดลงบนโดมมัสยิดพังพินาศเสียหายชาวมุสลิมต่างเกรงกลัวต่ออิทฤทธ์ของลิ้มกอเหนี่ยว เมื่อทำการบูรณะเสร็จก็จะโดนฟ้าผ่าทุกครั้งไป จนชาวมุสลิมไม่กล้าบูรณะมัสยิดหลังนี้อีกต่อไปและปล่อยให้มัสยิดรกร้างตั้งแต่นั้นมา  ด้วยเพราะความเกรงกลัวต่ออำนาจอิทฤทธิ์ของนางสาวลิ้มกอเหนี่นวหรือเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในปัจจุบัน




รูปมัสยิดกรือเซ๊ะ

แต่ทางประวัติศาสตร์
          ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ไทยบางส่วนและประวัติศาสตร์ของชาวมลายูบันทึกว่าสาเหตุที่มัสยิดกรือเซ๊ะเสียหาย เพราะโดนกองทัพจากกรุงสยามเข้าตีในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อประมาณ ปี พ.. 2328 ครั้งที่ทัพสยามเข้ามาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ ทหารสยามได้ระดมยิงปืนใหญ่จนเมืองและพระราชวังเสียหายตลอดจนมัสยิดเสียหาย และเมื่อทหารสยามรบชนะก็ได้ทำการเผามัสยิดเพื่อลอกเอาเนื้อทองคำบริสุทธิ์ที่ห่อหุ้มบนโดมมัสยิดกรือเซ๊ะอันสวยงามแห่งนี้ และหลังจากกองทัพสยามได้ยกทัพมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้กล่าวกันว่า ในสมัยที่กองทหารสยามกวาดและริบทรัพย์สินจากเชลยศึกในสงครามปัตตานีในสมัยปัตตานีในสมัยที่กองทัพถอยกลับนั้นด้วยความที่ทรัพย์สินของปัตตานีมีมาก เรือลำหนึ่งที่บรรทุกปืนใหญ่ศรีนะฆะราจจมล้มในอ่าวปัตตานี และทหารสยามต้องเท้ากลับกรุงเทพมหานคร เพราะเรือของกองทัพทั้งต้องบรรทรัพย์สินของเชลยศึกที่ยึดได้จากสงครามกลับกรุงเทพ
ยังมีความจริงอีกมามายที่ยังไม่ได้เขียนถึง และยังมีละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายที่ยังไม่เปิดเผย แต่มัสยิดกรือเซ๊ะเป็นมัสยิดที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนั้นเราควรอนุรักษ์และรักษาเอาไว้ เพื่อให้เป็นที่รู้จักของคนรุ่นหลังเอาไว้



อ้างอิง     http://www.geocities.ws/prawat_patani/masjidkersik.htm

3 ความคิดเห็น:

  1. คะแนนที่ได้ 20 คะแนน
    แต่ถ้าจะให้คะแนนเพิ่มขึ้น ควรปรับปรุงดังนี้
    1. คำนำของบทความ ส่วนเกริ่นนำเรื่อง ควรจะเป็นการเขียนกว้างๆกว่านี้ ก่อนที่จะเจาะลึกลงไปในเนื้อเรื่อง
    2. ส่วนเนื้อเรื่องสั้นเกินไป
    3. ส่วนสรุปยังขาดความเป็นเอกภาพ ยาวเกินไป และยังไม่สามารถบอกผู้อ่านให้ทราบว่าผู้อ่านได้อ่านมาจนถึงจุดปิดเรื่องแล้ว
    โปรดปรับปรุงภายใน 1 สัปดาห์ ( แก้ไขเสร็จแล้ว แจ้งให้คุณครูทราบด้วยนะค่ะ )

    ตอบลบ
  2. คะแนนที่ได้ 26 คะแนน แต่ถ้าจะให้คะแนนเพิ่มขึ้น ควรปรับปรุงดังนี้
    1. ควรมีภาพประกอบที่หลากหลายกว่านี้ เพื่อให้น่าสนใจกว่านี้
    2. จัดเรียง ส่วนนำ เนื้อเรื่อง สรุป ให้ชัดเจนกว่านี้
    3. แหล่งอ้างอิง สามารถเข้าถึงได้
    โปรดปรับปรุงภายใน 1 สัปดาห์ ( แก้ไขเสร็จแล้ว แจ้งให้คุณครูทราบด้วยนะค่ะ )

    ตอบลบ
  3. คะแนนที่ได้ 30 คะแนนค่ะ

    ตอบลบ